Wednesday, April 11, 2007

THAI CENSORSHIP BOARD TRIED TO DESTROY THE FILM

ขอเชิญร่วมลงชื่อและแสดงความคิดเห็นที่ท่านมีต่อระบบการเซ็นเซอร์ไทย โดยมีภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษเป็นกรณีศึกษา ได้ที่ลิงค์นี้

http://thaifilm.com/forumDetail.asp?topicID=3130&keyword=


ข่าวด่วน!!!!!!!!!!

กองเซ็นเซอร์ไม่ยอมคืนฟิล์มหนังให้คุณเจ้ย!!!!!!!!!!!!!

"เจ้ย" ไม่หั่น "แสงศตวรรษ" กองเซ็นเซอร์เล่นแง่ ไม่ตัดไม่คืนฟิล์ม

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2550 19:44 น.

ไม่ฉายก็ไม่ฉาย "เจ้ย" ไม่ตัด 4 ฉาก "แสงศตวรรษ" เผยทำหนังเปรียบเสมือนลูกที่ตนเองถ่ายทอดความรักทั้งหมดลงไป หากที่นี่ไม่ต้อนรับก็ขอพาลูกไปอยู่ที่อื่น ด้าน บก.ไบโอสโคปเผยปัญหาใหม่ กองเซ็นเซอร์อ้างหากจะรับฟิล์มคืน ต้องหั่นฉากที่ไม่ผ่านออกก่อน

โชคร้ายอีกครั้งสำหรับคอหนังของบ้านเรา หลังมีรายงานว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ "เจ้ย - อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" อย่าง "แสงศตวรรษ" ที่เพิ่งจะไปคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเอเชียโดวิลล์ ประเทศฝรั่งเศส และรางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม จาก Asian Film Awards ประเทศฮ่องกงซึ่งมีกำหนดจะเข้าฉายในบ้านเราในวันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายนนี้ ได้ถูกประกาศงดฉายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้สาเหตุของการประกาศงดฉายภาพยนตร์เรื่องที่ว่ามาจากการที่ตัวหนังเองไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ โดยมีเงื่อนไขให้ฉายหนังเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อต้องตัดฉากบางฉากออกไป (4 ฉาก) ขณะที่ตัวผู้กำกับฯ เองก็ยืนยันแล้วว่าจะไม่มีการหั่นหนังเรื่องนี้เป็นอันขาด

โดยเจ้ยได้ชี้แจงถึงเหตุผลของการที่ไม่ยอมตัดฉากบางส่วนที่ไม่ผ่านการพิจารณาระหว่างเดินทางโปรโมตภาพยนตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ตนเองรู้สึกเสียใจที่หนังไม่มีโอกาสได้เข้าฉายในประเทศไทยแต่คงจะยิ่งเสียใจกว่านั้นหากหนังเรื่องนี้ได้เข้าฉายโดยเนื้อหาบางส่วนถูกตัดออกไป

"ในฐานะนักทำหนังคนหนึ่ง ผมปฏิบัติกับหนังของผมประดุจลูกชายและลูกสาว เมื่อผมให้กำเนิดเขา พวกเขาก็มีชีวิตเป็นของตนเอง ผมไม่ใส่ใจว่าผู้คนจะรักหรือเกลียดลูกของผม ตราบใดที่ผมสร้างเขาขึ้นมาด้วยความตั้งใจและความพยายามอย่างสูงสุด ถ้าลูกๆ ของผมไม่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศของเขาเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ก็ปล่อยเขาเป็นอิสระเถิด"

"มันยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นในแบบอย่างที่เขาเป็น มันไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องทำให้พวกเขาพิกลพิการจากระบบแห่งความกลัวหรือความละโมบ มิฉะนั้นแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่คนสักคนหนึ่งจะสร้างงานศิลปะต่อไป"

สอบถามไปยัง "หมู สุภาพ หริมเทพาธิป" บก.นิตยสารไบโอสโคป หนึ่งในผู้ที่จะนำภาพยนตร์เรื่อง "แสงศตวรรษ" เข้ามาฉายในบ้านเรา เจ้าตัวเผยถึงรายละเอียดของฉากที่ไม่ผ่านเซ็นเซอร์ว่า..."จริงๆ มันมีคนเอาไปลงในเว็บบ้างแล้ว คือเวลาพูดเนี่ยเราก็จะนึกว่าภาพเป็นอย่างนั้นภาพอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นฉากผ่าน แต่ก็เป็นฉากที่สามารถบอกเกี่ยวกับแนวคิดได้เหมือนกัน อย่างสมมติบอกว่าฉากหมอกินเหล้าในโรงพยาบาล เราฟัง เฮ้ย...มันไม่ถูกต้องนี่ แต่ภาพจริงๆ คือมันจะไม่แรงเท่ากับคำพูดไง"

"แล้วเรื่องเหล่านี้ถ้าหากดูหนังอย่างใช้สติปัญญาเราจะไม่รู้สึกว่าสำคัญอะไร แต่ทีนี้เนื่องจากระบบเซ็นเซอร์ในบ้านเรา สมมติว่าเราเชิญมาเป็นของหน่วยงานนี้ เขาก็จะดูที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานเขา เขาไม่ได้ดูหรอกว่าหนังทั้งเรื่องมันพูดอะไรอยู่ พอไม่เข้าใจหนังทั้งเรื่องปุ๊บ ก็จะมองว่าที่มันเป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับเขาว่า อุ๊ย...มันไม่ควรหรอก มันควรจะตัด"

"ซึ่งอันนี้มันเป็นปัญหาของหน่วยงานเซ็นเซอร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ แต่กับเรื่องนี้เนื่องจากว่าผู้กำกับเขามองว่าหนังของเขามันเป็นอณู เป็นหนึ่งเดียวกันฉะนั้นเขาจะไม่ไปทำอะไรกับมัน เขาจะมองเพียงแค่ว่าได้ฉายตอบสนองคนเหล่านี้ ซึ่งไม่ได้มีความเข้าใจในศิลปะแต่ว่ามาตัดสินศิลปะด้วยตัวของเขาเอง ก็เป็นจุดยืนคนละจุดกัน”

บก.นิตยสารชื่อดังบอกต่อไปด้วยว่า ถึงตอนนี้เรื่องหนังไม่ได้เข้าฉายถือว่าไม่ใช่ปัญหาสำคัญแล้ว แต่เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือทางกองเซ็นเซอร์กลับยืนยันว่าหากทางผู้ผลิตต้องการจะนำเอาฟิล์มกลับคืนจะต้องทำการตัดฉากที่ไม่ผ่านการพิจารณาออกไปเสียก่อน...“ผู้กำกับไม่ยินดีที่จะตัด ถ้าไม่ยินดีที่จะตัดก็ไม่ได้ฉายเท่านั้นเอง แต่ที่นี้มันมีประเด็นก็คือ พอผู้กำกับเขาคิดว่าจะไม่ฉายแล้วเนี่ย เขาไปขอฟิล์มคืน กองเซ็นเซอร์ก็บอกว่าถ้างั้นต้องตัดไอ้ฉากเหล่านี้ทิ้งไปถึงจะเอาฟิล์มคืนได้"

"เราก็บอกว่า จริงๆ แล้วโดยกฎหมายเนี่ยถ้าคุณเผยแพร่ คุณถูกจับถือว่าผิดกฏหมาย เซ็นเซอร์มีหน้าที่แค่นั้น แต่เซ็นเซอร์ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะไปทำลายทรัพย์สินของคนอื่นมันเป็นทรัพย์สินของเขา...ถ้าในกรณีนี้เนี่ยเป็นเรื่องของการทำลายทรัพย์สินแล้ว ไอ้คนที่จะตัดนะ ตัดได้แต่จะต้องโดนถูกจับแน่นอน เพราะว่าทำลายทรัพย์สินเขา เขาไม่ได้ให้สิทธิ์คุณให้ไปทำลายทรัพย์สินเขา แค่ยอมรับในการที่จะไม่เซ็นเซอร์”

เผยกรณีที่อีกฝ่ายเอากฏหมายขึ้นมาอ้างนั้น โดยส่วนตัวแล้วตนเองเห็นว่ามันคนละเรื่องกัน"ทางตำรวจเอาข้อมูลมาให้ดู บอกว่าภาพยนตร์ที่ทำในราชอาณาจักรถ้ามีลักษณะนี้ห้ามมิให้นำส่งหรือออกนอกราชอาณาจักร แต่ว่าเนื่องจากว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นสมบัติของต่างประเทศไง คุณจะไปห้ามเขาได้อย่างไร มันเป็นหนังที่กองทุนโมสาร์ต เขาให้มาเพื่อจะให้เราผลิตหนังเรื่องนี้ เราก็ทำหนังเรื่องนี้"

"คุณจะบอกว่าเขาส่งออก เขาไม่ได้ส่งออกอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นหนังนอกประเทศ นี่เขานำเข้ามามันก็ถือว่าเป็นสมบัติของนายคนนี้ แล้วเขาไม่ได้นำมาเผยแพร่ ถ้าเขาไม่เผยแพร่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดฉากของเขา มันเป็นสมบัติของเขา แต่ถ้าเกิดเขาเอาไปเผยแพร่คุณก็มีสิทธิ์ไปจับเขา เนื่องจากเขาทำผิด”

"ตอนนี้มันเป็นประเด็นเจ้าหน้าที่ทางรัฐที่จะทำผิดกฎหมาย เพราะว่าเขาไม่ได้ให้สิทธิ์คุณที่จะไปทำลายทรัพย์สินคนอื่น เจ้าของเขาก็ยินดีอยู่แล้วที่จะไม่เผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณมีหน้าที่ตรวจพิจารณาภาพยนตร์ที่จะเผยแพร่ ถ้าเขาเผยแพร่เมื่อไหร่คุณไปจับเขาในวันนั้นเลย เพราะว่านั่นคือการละเมิดกฎหมาย แต่ ณ วันนี้เขาไม่ได้ละเมิดกฏหมายเพราะเขาไม่ได้เผยแพร่ เขาก็เก็บไว้ในบ้านเขา ไว้ในตู้เซฟของเขา”

“กฎหมายให้อำนาจคนเหล่านี้พิจารณาภาพยนตร์เท่านั้น แต่ไม่ให้อำนาจในการที่คุณจะไปทำลายทรัพย์สินของคนอื่น คือตอนนี้เราไม่รู้หรอกเขากำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณากันอยู่...”

ถามถึงเหตุผลที่กองเซ็นเซอร์หยิบยกขึ้นมาพิจารณาในการตัดหนังเรื่องนี้ "สุภาพ" บอกว่า...“ถ้าพูดถึงแบบภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า การบ้าอำนาจของคนเหล่านี้เนี่ยเอง ใช้อำนาจเข้าไปเหมือนกับตัวเองมีอำนาจล้นฟ้า สามารถตัดสินแทนประชาชน 60 กว่าล้านคน คิดว่าไม่มีสติปัญญาเพียงพอเหมือนกับพวกเขา"

"ประมาณว่าถ้าคนอื่นได้รับเสพสิ่งเหล่านี้เข้าไปแล้วอาจทำให้ประชาชนในประเทศนี้เกิดอาการอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็คือฉันยอมรับในสิ่งนี้ด้วยตัวเองแล้ว ฉันมีภูมิปัญญามีความแข็งแกร่งทางจริยธรรมที่จะพิจารณาหนังเหล่านี้ คนอื่นดูไม่ได้ ฉันเท่านั้นที่ดูได้นี่คือวิธีคิดของกองเซ็นเซอร์ของบ้านเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"

"พอคิดแบบนี้เลยรู้สึกว่า เออ..ถ้าฉันสามารถตัดสินแทนคน 60 กว่าล้านคนได้เนี่ย ฉันจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งอำนาจที่ล้นฟ้าเนี่ยมันก็ทำให้คนทำผิดกฏหมายโดยไม่รู้ตัว”

เผยตัวผู้กำกับเองคงจะกลับมาแถลงข่าวอีกครั้ง โดยในขณะนี้เจ้าตัวกำลังอยู่ในระหว่างเดินสายแถลงข่าวยังต่างประเทศอยู่ ส่วนทางออกสำหรับคนที่อยากดูหนังเรื่องนี้ก็คือต้องไปที่เมืองนอก...“ก็ต้องไปดูเมืองนอก เพราะว่าเขาห้ามฉายไง ในประเทศนี้ถ้ามีฉากเหล่านี้ฉายไม่ได้ นี่คือประเด็นที่เป็นอยู่ ประเด็นที่มันเกินกว่านั้นคือที่จะไม่ให้ฟิล์มออกมาเนี่ย บอกจะเอาฟิลม์ออกมาได้ก็ต้องตัดฉากนั้นออกก่อน ซึ่งมันไม่เกี่ยวมันไม่ได้ห้ามเรื่องการครอบครอง นี่มันเป็นสมบัติของเขา”

"ตอนนี้เจ้ยกำลังแถลงข่าวในต่างประเทศอยู่ คือว่าในประเทศเราตอนนี้กำลังมีภาพพจน์ในการเผด็จการ เหมือนเราน่ะ ทำไมหนังพวกนี้มันฉายทั่วโลกได้แต่ประเทศตัวเองห้ามฉาย เหมือนที่เราเคยหัวเราะประเทศอื่นน่ะว่าหนังไม่มีอะไรเลยทำไมห้ามฉาย...”

"เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" ถือได้ว่าเป็นผู้กำกับหนังแนวศิลปะที่ได้รับการจับตาในวงการหนังระดับโลกเป็นอย่างมาก มีผลงานมาแล้วอย่าง สุดเสน่หา และ สัตว์ประหลาด และยังเป็นศิลปินเจ้าของรางวัลศิลปาธร ปี 2549 สาขาภาพยนตร์ จากสำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

"แสงศตวรรษ" เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่นอกจากจะได้แข่งขันในเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิซ และเดินทางไปฉายตามเทศกาลสำคัญต่างๆ มากกว่า 10 เทศกาลทั่วโลกแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แสงศตวรรษ เพิ่งคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเอเชียโดวิลล์ ประเทศฝรั่งเศส และรางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม จาก Asian Film Awards ประเทศฮ่องกงอีกด้วย

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล “นิว คราวน์ โฮป” ที่จัดโดย Wiener Festwochen เนื่องในโอกาสครบรอบ 250 ปีโมซาร์ต (Vienna Mozart Year 2006) บอกเล่าถึงชีวิตของแพทย์หญิง ณ โรงพยาบาลต่างจังหวัดเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดีต่อผู้ป่วยและความรัก + ชีวิตของแพทย์ทหารหนุ่ม ณ โรงพยาบาลในเมืองที่ทันสมัย กับผู้ป่วยพิการและคู่รักของเขาที่กำลังจะจากไป

ดูรูปประกอบเพิ่มเติมได้ที่
http://filmsick.exteen.com/20070411/entry

No comments: